Hfocus (เจาะลึกระบบสุขภาพ)

  1. ประกันสังคมเพิ่มสิทธิ ผู้ประกันตนเบิกค่าผ่าตัดลูกตาเทียมเฉพาะบุคคลได้!  

    ประกันสังคมเพิ่มสิทธิ ผู้ประกันตนเบิกค่าผ่าตัดลูกตาเทียมเฉพาะบุคคลได้!  

    ประกันสังคมเพิ่มสิทธิประโยชน์ นวัตกรรมด้านการรักษาผู้ประกันตนที่สูญเสียดวงตา รักษาผ่าตัดลูกตาเทียมเฉพาะบุคคลได้ที่โรงพยาบาล 9 แห่ง  

    สำนักงานประกันสังคม เพิ่มสิทธิให้ผู้ประกันตนเบิกค่าผ่าตัดใส่ลูกตาเทียมเฉพาะบุคคล ได้แล้ว

    เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงหลักเกณฑ์และอัตราค่าบริการทางการแพทย์กรณีการรักษาผู้ประกันตนที่สูญเสียดวงตา โดยการผ่าตัดใส่ลูกตาเทียมเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วยของกองทุนประกันสังคม ว่า ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เป็นนวัตกรรมด้านการรักษาผู้ประกันตนที่สูญเสียดวงตาด้วยลูกตาเทียมเฉพาะบุคคล มีหลักเกณฑ์และอัตราค่าบริการทางการแพทย์ รายละเอียดดังนี้

    1. ผู้ประกันตนจะต้องเป็นผู้ที่มีภาวะของการสูญเสียดวงตา ได้แก่ 

    1) ผู้ป่วยตาฝ่อโดยกำเนิด 
    2) ผู้ป่วยตาฝ่อหลังลูกตาแตก 
    3) ผู้ป่วยภายหลังการผ่าตัดนำลูกตาออก

    2. สำนักงานประกันสังคม จะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้กับสถานพยาบาลที่ให้บริการแก่ผู้ประกันตนที่สูญเสียดวงตา ในอัตราต่อไปนี้ 

    1) ค่าตรวจประเมินก่อนการเข้ารับบริการผ่าตัดใส่ลูกตาเทียมเฉพาะบุคคลเป็นค่าตรวจตาปลอม ค่าวัดระดับการมองเห็น ค่าเครื่องตรวจตา และค่าน้ำตาเทียม ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาทต่อครั้ง 
    2) ค่าบริการสำหรับการพิมพ์ตาปลอม ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 500 บาท 
    3) ค่าบริการในวันรับตาปลอม ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 600 บาท 
    4) ค่าอวัยวะเทียมหรืออุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค จ่ายในอัตราที่กำหนดตามรายการและอัตราค่าอวัยวะเทียมหรืออุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค โดยหากเป็นรายการประเภทตาปลอมชนิดทำเฉพาะบุคคล (Customized eye prosthesis) จ่ายในอัตราข้างละ 5,000 บาท ส่วนตาปลอมชนิดใส (Customized conformer) จ่ายในอัตราอันละ 1,500 บาท เป็นต้น

    เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาล 9 แห่ง ที่ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมสามารถทำการรักษากรณีสูญเสียดวงตา โดยการผ่าตัดใส่ลูกตาเทียมเฉพาะบุคคลได้ คือ โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ วัดไร่ขิง โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาลัยมหิดล คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ โทร. 02-956-2517 หรือ โทรสายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัด/พื้นที่/สาขา/จังหวัดทั่วประเทศ

    editor team nisa Sat, 07/27/2024 - 13:12
  2. "สมศักดิ์" เร่งทำ "พรบ.อสม." เพื่อความมั่นคงรายได้ เล็งดึงงบ สปสช.ตั้งกองทุนอสม.

    "สมศักดิ์" เร่งทำ "พรบ.อสม." เพื่อความมั่นคงรายได้ เล็งดึงงบ สปสช.ตั้งกองทุนอสม.

    “สมศักดิ์” เปิด สัมมนายกระดับศักยภาพ อสม. จ.สุโขทัย ชี้ มีส่วนสำคัญช่วยลดผู้ป่วย-พัฒนาแพทย์ปฐมภูมิ ย้ำเร่งทำพรบ.อสม.เพื่อความมั่นคง-รายได้ เล็งดึงงบ สปสช.ตั้งกองทุนช่วย อสม. ดันนำเงินฌาปนกิจมาใช้ได้ก่อน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจทำงาน เผย “อดีตนายกฯทักษิณ” แนะเดินหน้า 30 บาทให้ดี ยันสุโขทัย เริ่มใช้ได้ 30 ส.ค.นี้ 

    เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนา “การยกระดับศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพของประเทศไทย”โดยมี นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร นายมนู พุกประเสริฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ สส.สุโขทัย นายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง สส.สุโขทัย นางสาวประภาพร ทองปากน้ำ สส.สุโขทัย นายจักรวาล ชัยวิรัตน์กุล สส.สุโขทัย พรรคเพื่อไทย นางสงวน มะเสนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และ อสม.กว่า 500 คน เข้าร่วม ที่โรงเรียนเมืองเชลียง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย

    โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่าอสม. ถือเป็นบุคคลสำคัญ ในการพัฒนาการแพทย์ปฐมภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค ที่เป็นปัญหาสำคัญ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นปัญหาสำคัญ ในระบบสาธารณสุขของประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุข จึงส่งเสริม อสม. ให้มีองค์ความรู้ เพิ่มพูนความสามารถให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นสมาร์ท อสม. และยกระดับบทบาทหน้าที่ของ อสม. เช่น การเป็นเฮลท์ ไรเดอร์ ทำหน้าที่นำส่งยา และองค์ความรู้ในการดูแลสุขภาพสู่ชุมชน ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน

    ผมจะผลักดัน พ.ร.บ.อสม. เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างขวัญกำลังใจ และความมั่นคง ให้กับ อสม. ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน พ.ร.บ.ดังกล่าว ผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว ขั้นต่อไปจะเสนอ ครม. และรัฐสภา เพื่อออกเป็นกฎหมายต่อไป โดยการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดี ที่คณะกรรมาธิการจะได้มาสัมผัส รับทราบปัญหา และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับ อสม. และพี่น้องประชาชน ผมเชื่อว่า งานสัมมนาในวันนี้ จะมีส่วนช่วยพัฒนาศักยภาพ อสม. ให้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ สามารถสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ประชาชน และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านสุขภาพ ทำให้ประชาชนมีสุขภาพดี สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน” นายสมศักดิ์ กล่าว

    นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กฎหมาย อสม. ยังจะช่วยทำให้ อสม.มีความมั่นคง มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพราะจะสามารถตั้งกองทุน หรือ นำเงินฌาปนกิจมาใช้บางส่วนได้ก่อน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการขับเคลื่อนงานหนัก ในการดูแลสุขภาพประชาชน และลดผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล โดยในแต่ละปี สปสช.จะใช้งบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งใช้ซื้อยาต่างประเทศถึง 7 หมื่นล้านบาท โดยที่เหลือก็เป็นการดูแลโรคเบาหวาน ความดัน โรคที่ไม่ติดต่อร้ายแรง อย่าง ฟอกไต 1.5 หมื่นล้านบาท สุขภาพตำบล 2.5 หมื่นล้านบาท รวม 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าใช้กลไก อสม.ทำให้ผู้ป่วยลดลง เพราะคนป่วยโรคเหล่านี้ เกิดจากการกิน ดังนั้น หากอสม.มีการเสริมความรู้ มีคนป่วยลดลง งบประมาณที่ประหยัดไปได้ ก็อาจจะนำกลับมาตั้งกองทุนช่วย อสม.ได้ 

    “ส่วนเรื่องบัตรทอง 30 บาท  ที่เริ่มตั้งแต่สมัยอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 23 ปีที่แล้ว วันนี้ ก็พัฒนาเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว โดยผมมีโอกาสเจออดีตนายกฯทักษิณ ก่อนเดินทางมาจังหวัดสุโขทัย ท่านก็ให้คำแนะนำว่า ทำต่อให้ดี เพราะจะเป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งผมก็ยืนยันว่า พร้อมขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ อย่าง จังหวัดสุโขทัย ก็จะเริ่มใช้ได้วันที่ 30 ส.ค.นี้ ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน เข้าถึงบริการสุขภาพได้มากยิ่งขึ้น” นายสมศักดิ์ กล่าว

    hfocus team tipe Sat, 07/27/2024 - 13:09
  3. ปลัดสธ.เผย ค่าเสี่ยงภัยโควิด รอบสองกว่า 3.9 พันล้าน เสนอของบฯ แล้ว ผ่านจุดของกระทรวง

    ปลัดสธ.เผย ค่าเสี่ยงภัยโควิด รอบสองกว่า 3.9 พันล้าน เสนอของบฯ แล้ว ผ่านจุดของกระทรวง

    ตามที่สำนักข่าวออนไลน์ Hfocus มีการติดตามเงิน “ค่าเสี่ยงภัยโควิด”   หรือเงินค่าตอบแทนของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ปฏิบัติงานช่วงการระบาดของโควิด19 ที่ผ่านมา  ซึ่งงบประมาณดังกล่าวรวมวงเงินกว่า 6,700  ล้านบาท เป็นเงินค้างจ่ายบุคลากรตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎกาคม 2564 จนถึงกันยายน 2565 แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ 1.งบค่าเสี่ยงภัยโควิดช่วงเดือนกรกฎาคม 2564- ครึ่งเดือนแรกเดือนมิถุนายน 2565 วงเงิน 2,995.95 ล้านบาท  และ 2.งบค่าเสี่ยงภัยโควิดช่วงครึ่งเดือนหลังมิถุนายน จนถึงกันยายน 2565 วงเงินรวม 3.9 พันล้านบาท  

    ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวHfocusได้สอบถาม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กรณีข้อเสนอของบประมาณ ค่าเสี่ยงภัยโควิด19 ไปยังรัฐบาลแล้วใช่หรือไม่  ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำเรื่องเสนอไปแล้ว โดยเป็นค่าเสี่ยงภัยโควิดรอบสองจำนวนกว่า  3,900 ล้านบาท ซึ่งผ่านพ้นขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขแล้ว

    ผู้สื่อข่าวถามย้ำแสดงว่าอยู่ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาใช่หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ผ่านขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข ไปแล้ว ส่วนจะอยู่ที่ใครไม่ทราบ เพราะก่อนจะถึงครม.ก็จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบเอกสาร ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ อย่างสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หรือสลค.    

    ร่างกฎหมายแยกตัวออกจากก.พ.

    เมื่อถามกรณีกฎหมายแยกตัวออกจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) หากแยกตัวแล้วจะส่งผลอย่างไรกับกระทรวงฯ นพ.โอภาส กล่าวว่า เร็วไปที่จะพูด ขอให้รับฟังความคิดเห็นให้ครบก่อน ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นในเว็บไซต์ LAW ถึงวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ทุกคนไม่ใช่เฉพาะบุคลากรสาธารณสุข สามารถแสดงความคิดเห็นได้ ทั้งประชาชนทั่วไป หรือสื่อมวลชนก็มาแสดงความคิดเห็นได้ทั้งหมด

    แผนกำลังคนด้านสุขภาพทั้งประเทศ

    ถามถึงกรณีแผนกำลังคนด้านสุขภาพเข้า ครม.เพื่อพิจารณาแล้วใช่หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน จะเข้าครม.หรือไม่ตนไม่ทราบ

    เมื่อถามย้ำว่าได้เสนอเข้าครม.แล้วใช่หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า เท่าที่ทราบส่งไปแล้ว แต่อาจอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ จึงไม่สามารถบอกได้ว่าถึงครม.แล้วหรือยัง

    ถามอีกว่าแผนกำลังคนด้านสุขภาพนี่คือ แผนยุทธศาสตร์กำลังคนภาพรวมทั้งประเทศหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ใช่ เป็นภาพรวมและเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีบัญชาเรื่องการแก้ปัญหาพยาบาล ซึ่งนายกฯ เน้นเรื่องพยาบาล แต่ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้แนบยุทธศาสตร์ภาพรวมด้วย เพราะทุกวิชาชีพเกี่ยวข้องกัน

    presscomdivi Sat, 07/27/2024 - 10:02
  4. จัด "รถทันตกรรมเคลื่อนที่" ดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ ภายใต้นโยบาย "30 บาทรักษาทุกที่"

    จัด "รถทันตกรรมเคลื่อนที่" ดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ ภายใต้นโยบาย "30 บาทรักษาทุกที่"

    สปสช. เขต 12 สงขลา ร่วมกับ สาธารณสุขจังหวัด และเรือนจำในพื้นที่ ดำเนินการตามโครงการพระราชดำริ “ราชทัณฑ์ปันสุข ทำความสุขเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ จัดรถทันตกรรมเคลื่อนที่ดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ เริ่มที่เรือนจำกลางพัทลุง ก่อนหมุนเวียนไปจังหวัดอื่นต่อไป

    เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2567 นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 12 สงขลา กล่าวถึงการให้บริการด้านทันตกรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำ ตามโครงการพระราชดำริ “ราชทัณฑ์ปันสุข ทำความสุขเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในพื้นที่ สปสช. เขต 12 โดยระบุว่า สปสช. ได้ประสานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่เขต 12 สงขลา และบริษัทผู้ให้บริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ เพื่อเข้าไปให้บริการด้านทันตกรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำในพื้นที่ สปสช. เขต 12 สงขลา ซึ่งได้เริ่มที่เรือนจำกลางพัทลุง เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา และจะทยอยเข้าไปให้บริการในเรือนจำจังหวัดต่างๆ ของพื้นที่ สปสช.เขต 12 จนครบทุกจังหวัดต่อไป 

    นพ.วีระพันธ์ กล่าวว่า การให้บริการด้านสุขภาพแก่ผู้ต้องขังนั้น สปสช. เริ่มจากขับเคลื่อนหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยยกระดับห้องพยาบาลในเรือนจำเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลในพื้นที่ และมีบริการบางอย่างที่เบิกค่าใช้จ่ายโดยตรงจาก สปสช.ได้เลย ทำให้เกิดการจัดบริการโดยเฉพาะเรื่องส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคมากขึ้น

    ต่อมาเมื่อมีนโยบาย “โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่” ก็มีหน่วยนบริการวัตกรรมสาธารณสุขเข้ามาร่วมให้บริการแก่ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท เช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม ฯลฯ รวมทั้งรถทันตกรรมเคลื่อนที่ ซึ่งเปรียบเสมือนคลินิกแห่งหนึ่ง โดยเริ่มต้นเริ่มจากดูแลสุขภาพช่องปากให้เด็กนักเรียนในพื้นที่ กทม. ต่อมาได้ขยายพื้นที่กาให้บริการเข้าไปในเรือนจำ เพราะผู้ต้องขังเป็นกลุ่มเปราะบาง มีความยุ่งยากเวลาออกมารับบริการข้างนอก 

    นพ.วีระพันธ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในพื้นที่ สปสช. เขต 12 เริ่มคิกออฟการให้บริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ใน จ.นราธิวาส ในช่วงประมาณเดือน ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา โดยมีรถทันตกรรมจากบริษัท ฟีนิกซ์ เข้าไปให้บริการขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และอื่นๆตามสิทธิประโยชน์ที่ สปสช. กำหนด และได้มีการคิกออฟให้บริการที่เรือนจำนราธิวาส  เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567  รวมผู้ต้องขังประมาณ 3,000 คน

    “หลังจากให้บริการที่ จ.นราธิวาสแล้ว ต่อมาทางบริษัท ฟีนิกซ์ ได้ติดต่อ สปสช. เพื่อแสดงความประสงค์ในการให้บริการในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ซึ่ง สปสช. มีความยินดีในความร่วมมือและประสานงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดของแต่ละจังหวัดและเรือนจำในพื้นที่ โดยเป็นการดำเนินการภายใต้โครงการพระราชดำริ “ราชทัณฑ์ปันสุข ทำความสุขเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ทั้งนี้ได้เริ่มที่เรือนจำกลางพัทลุงก่อน รวมให้บริการผู้ต้องขังประมาณ 1,800 คน และได้ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้ระดมทีมจากโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลจังหวัดเข้ามาสนับสนุนการจัดบริการด้วย ส่วน สปสช. ก็สนับสนุนด้านงบประมาณ โดยจ่ายชดเชยค่าบริการหัวละ 500 บาท” นพ.วีระพันธ์ กล่าว 

    นพ.วีระพันธ์ กล่าวต่อด้วยว่า ทั้งนี้ หลังจากให้บริการที่เรือนจำกลางพัทลุงแล้ว รถทันตกรรมเคลื่อนที่ของบริษัท ฟีนิกซ์ จะตระเวนเข้าไปในบริการในเรือนจำทุกจังหวัดในพื้นที่ สปสช. เขต 12 ยกเว้น จ.นราธิวาส ที่ให้บริการไปแล้ว โดยขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการเรือนจำแต่ละแห่งว่ามีความพร้อมและอนุญาตให้เข้าไปให้บริการเมื่อใด

    hfocus team tipe Sat, 07/27/2024 - 09:56
  5. สธ.เตือน ดื่มเหล้า-สูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยง มะเร็งศีรษะและคอ

    สธ.เตือน ดื่มเหล้า-สูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยง มะเร็งศีรษะและคอ

    เนื่องในวันมะเร็งศีรษะและคอโลก รพ.ราชวิถี แนะวิธีป้องกันมะเร็งช่องปาก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า งดการเคี้ยวหมากพลู เตือน! อาการที่ต้องระวัง มีตุ่มก้อนเนื้อหรือรอยแผลที่รักษาไม่หายเกิน 2–3 สัปดาห์ เลือดออกจากรอยแผล มีก้อนที่ลำคอ 

    เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่ามะเร็งศีรษะและคอ เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจส่วนบนและบริเวณคอ หรือเรียกว่า มะเร็งของหู คอ จมูก ซึ่งมะเร็งศีรษะและคอที่พบบ่อย คือ มะเร็งช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียง โพรงจมูกและไซนัสโพรงหลังจมูก ต่อมไทรอยด์ และต่อมน้ำลาย การจะพิสูจน์ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ทำได้ไม่ยาก แต่จะมีมะเร็งบางตำแหน่งที่อาจตรวจหายากขึ้น ต้องใช้ความชำนาญ และอาจจะต้องใช้วิธีการตรวจพิเศษบางอย่างช่วย เช่น มะเร็งในจมูก มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งกล่องเสียง เป็นต้น

    นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย พบว่า ปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งศีรษะและคอมาจากการดื่มเหล้าและการสูบบุหรี่ ส่วนการเคี้ยวหมากร่วมกับใบยาสูบเป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยในอดีต และเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิด “มะเร็งช่องปาก” โดยเฉพาะบริเวณกระพุ้งแก้ม ผู้ป่วยบางรายอาจมีความผิดปกติระดับยีนที่เสริมให้เกิดมะเร็งจากการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ซึ่งมะเร็งช่องปากสามารถเกิดได้ทุกตำแหน่งในช่องปาก โดยอาจมาด้วยลักษณะตุ่มก้อนเนื้อหรือรอยแผลที่รักษาไม่หายนานเกิน 2–3 สัปดาห์ ทั้งนี้ อาจพบเลือดออกจากรอยแผล อาการชาจากการลุกลามทำลายเส้นประสาท หรือการกระจายไปต่อมน้ำเหลือง ทำให้สามารถคลำเป็นก้อนได้ที่ลำคอ

    พญ.ธนิษฐา บวรปรัส นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิกโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันมะเร็งช่องปากที่สำคัญ คือ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า งดการเคี้ยวหมากพลู ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากให้สะอาด พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ และเนื่องในวันมะเร็งศีรษะและคอโลก 26 กรกฎาคม โรงพยาบาลราชวิถี โดยกลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก จึงได้จัดงานวันมะเร็งศีรษะและคอโลก ภายในงานจัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ กิจกรรมที่ 1 บริการตรวจช่องปากโดยทันตแพทย์ ฟรี จำนวน 100 คน กิจกรรมที่ 2 สอนตรวจช่องปากด้วยตนเองโดยทันตแพทย์ กิจกรรมที่ 3 บริการรับให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่สนใจเลิกบุหรี่ เลิกสุรา โดยนักจิตวิทยา ณ บริเวณลานน้ำพุ ชั้น 1 ตึกสิรินธร โรงพยาบาลราชวิถี 

    editor team nisa Fri, 07/26/2024 - 20:20